ประวัติผู้แต่ง



1. กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส  ทรงนิพนธ์ 5 กัณฑ์คือ
        1. ทศพร
        2. หิมพานต์
        3. มหาราช
        4. นครกัณฑ์
พระประวัติ
ประสูติ
            สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงเป็นพระโอรสองค์ที่ ๒๘ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (รัชกาลที่ ๑ ) อันเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี พระมารดา คือ เจ้าจอมมารดาจุ้ย พระสนมโท ต่อมาได้เลื่อนเป็น ท้าวทรงกันดาลเป็นตำแหน่งผู้รักษาการคลังใน เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย ในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓ ) ทรงประสูติเมื่อ วันเสาร์ เดือนอ้าย ขึ้น ๕ ค่ำ ปีจอ จุลศักราช ๑๑๕๒ ตรงกับวันที่ ๑๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๓๓๓ และมีพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าชาย วาสุกรี
            สำหรับพระราชบิดาของพระองค์ คือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก นั้น ทรงมีพระนามเดิมว่า ทองด้วง ประสูติที่กรุงศรีอยุธยา เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ.๒๒๗๙ ในรัชกาลพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เมื่อทรงเจริญพระชันษาได้เข้ารับราชการ ทรงเป็นกำลังสำคัญของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีในการกู้บ้านเมือง จนได้เลื่อนยศเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก และต่อมาได้ทรงสถาปนาพระราชวงศ์ขึ้นใหม่และตั้งราชธานีขึ้นที่กรุงเทพฯ ในปี พ.ศ.๒๓๒๕ นับเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ทรงครองราชย์เป็นเวลา ๒๗ ปี และเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ ๗ กันยายน พ.ศ.๒๓๕๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกนี้นอกจากจะทรงเป็นนักรบที่เก่งกล้าสามารถแล้ว ยังทรงเป็นกวีและนักปราชญ์อีกด้วย
การศึกษา
            สามเณรพระองค์เจ้าวาสุกรี ทรงเป็นศิษย์ในสำนักสมเด็จพระพนรัตน์ (แก้ว) อธิบดีสงฆ์วัดพระเชตุพนฯ ผู้เป็นนักปราชญ์ล้ำลึกและมั่นคงเคร่งครัดในพระธรรมวินัย สมเด็จพระพนรัตน์องค์นี้เกิดในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ กรุงศรีอยุธยา เคยเป็นพระราชาคณะที่พระธรรมเจดีย์ในสมัยกรุงธนบุรี ได้รับมอบหมายให้ไปจัดการสังฆมณฑลฝ่ายเหนือที่พิษณุโลก และได้เลื่อนเป็นที่พระพิมลธรรม แต่ต้องโทษในปลายรัชกาล เนื่องจากยึดมั่นในพระธรรมวินัย ไม่โอนอ่อนผ่อนตามพระเจ้ากรุงธนบุรี ต่อมาในรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้โปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นสมเด็จพระพนรัตน์ ครองวัดพระเชตุพนฯ และได้เป็นพระอาจารย์ของสามเณรพระองค์เจ้าวาสุกรี ได้ถ่ายทอดพระธรรมวินัยและความรู้ทางด้านภาษาไทย และภาษามคธ บาลี โบราณคดี โหราศาสตร์ และเวทมนตร์ ตลอดทั้งวิธีลงเลขยันต์ต่างๆ สมเด็จพระพนรัตน์องค์นี้เป็นผู้อ่านประกาศเทวดา และเป็นแม่กองชำระพระอภิธรรมปิฎกในรัชกาลที่ ๑ นอกจากนี้ได้นิพนธ์หนังสือภาษาบาลีไว้หลายเรื่อง และมีชื่อเสียงโด่งดังในการเทศน์มหาชาติ กัณฑ์ นครกัณฑ์ซึ่งบรรดาลูกศิษย์ของท่านก็ได้สืบทอดกันต่อๆ มาหลายรัชกาล
            สามเณรพระองค์วาสกรีได้ทรงศึกษาอย่างใกล้ชิดกับพระอาจารย์ ทรงได้รับการถ่ายทอดวิทยาการไว้ทั้งหมด รวมทั้งได้รับมอบตำรับตำราพิชัยสงคราม โหราศาสตร์ เวทมนตร์ และพระธรรมวินัยไว้ด้วยจึงทรงเป็นผู้เชี่ยวชาญแตกฉาน นับได้ว่าเป็นนักปราชญ์ที่ล้ำลึกของยุคต้นรัตนโกสินทร์
            ในสมัยรัชกาลที่ ๓ ได้ทรงโปรดให้ปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนฯ และได้มีการเชิญอัฐิของสมเด็จพระพนรัตน์มาบรรจุไว้ในสถูปในบริเวณตำหนักของสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส มีโคลงจารึกเป็นเกียรติไว้ว่า
             สถูปเสถียรธาตุไท้            ธิบดี สงฆ์แฮ
             วันรัตน์เจ้าจอมชี            ชื่ออ้าง
             ปรากฏเกียรติมุนี            เสนอโลกย ไว้เอย
             องค์อดิศวรสร้าง            สืบหล้าแหล่งเฉลิม
ผนวชเป็นสามเณร
            เมื่อปี พ.ศ.๒๓๔๕ ในรัชกาลที่ ๑ กรมพระราชวังหลัง (เจ้าฟ้ากรมพระอนุรักษ์เทเวศร์พระเจ้าหลานเธอ ในรัชกาลที่ ๑ ) ได้เสด็จออกผนวชเป็นพระภิกษุ เมื่อวันขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๘ ได้มีเจ้านายตามเสด็จออกผนวชเป็นสามเณร เป็นหางนาคหลวง ๒ พระองค์ คือ พระองค์เจ้าชายวาสุกรีกับพระองค์เจ้าชายฉัตร (กรมหมื่นสุรินทรรักษ์)
ผนวชเป็นพระภิกษุ
            สามเณรพระองค์เจ้าวาสุกรี ประทับจำพรรษาและศึกษาอยู่ในวัดพระเชตุพนฯ จนสิ้นรัชกาลที่ ๑ ขณะนั้นพระชนม์ได้ ๑๙ พรรษา ก็ไม่ทรงสึก เนื่องจากอายุยังไม่ครบผนวชเป็นพระภิกษุจึงทรงเป็นสามเณรต่อไป จนถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒ ) จึงได้ทรงผนวชเป็นพระภิกษุเมื่อปีมะแม พ.ศ.๒๓๕๔ สมเด็จพระสังฆราช (สุก) เป็นพระอุปัชฌาย์ และสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพนฯ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ทรงได้รับพระสมณฉายาว่า สุวัณณรังษีเป็นพระราชาคณะและอธิบดีสงฆ์
            พระองค์เจ้าพระ สุวัณณรังษีทรงผนวชอยู่ได้ ๓ พรรษา สมเด็จพระพนรัตน์อธิบดีสงฆ์วัดพระเชตุพนฯ ก็ถึงแก่มรณภาพ เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒ ) เสด็จพระราชดำเนินไปถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดพระเชตุพนฯ พระองค์โปรดแต่งตั้งให้พระองค์เจ้าพระ สุวัณณรังษีเป็นพระราชาคณะและอธิบดีสงฆ์ วัดพระเชตุพนฯ
พระอิสริยยศและสมณศักดิ์
            ทรงได้รับเลื่อนเป็นเจ้าต่างกรมครั้งแรก ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒ ) เป็น กรมหมื่นนุชิตชิโนรส ศรีสุคตขัติยวงศ์และดำรงพระยศนี้อยู่จนสิ้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓ )
            เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔ ) เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติแล้ว ทรงมีพระบรมราชโอการประกาศเลื่อนกรมหมื่นนุชิตชิโนรส ศรีสุคตขัติวงศ์ให้ดำรงตำแหน่งสกลมหาสังฆปริณายก ณ วันศุกร์ ขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๙ ปีกุน จุลศักราช ๑๒๑๓ (พ.ศ.๒๓๙๔) และได้เลื่อนเป็น
            “กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส ศรีสุคตขัติยวงศ์ บรมพงศาธิบดี จักรีบรมนาถ ปฐมพันธุมหาราชวรังกูร ปรเมนทรนเรนทรสูรสัมมานาภิสักกาโรดมสถาน อริยสมศีลาจารพิเศษมหาวิมล มงคลธรรมเจดีย์ยุตมุตวาที สุวีรมนุญ อดุลยคุณคุณาธาร มโหฬารเมตตยาภิธยาศรัย ไตรปิฎกกลาโกศล เบญจปดลเศวตฉัตร สิริรัตโนปลักษณ มหาสมนุตตมาภิเศกาภิสิต ปรมุกฤษฐสมณศักดิ์ธำรง มหาสงฆปริณายก พุทธสาสนดิลกโลกุตตมมหาบัณฑิต สุนทรวิจิตรปฎิภาณ ไวยัติญาณมหากระวี พุทธาทิศรีรัตนตรัยคุณารักษ์ เอกอรรคมหาอนาคาริยรัตน์ สยามาทิโลกยปฎิพันธ พุทธบริษัทเนตร สมณคณินทราธิเบศร์ สกลพุทธจักโรปการกิจ สฤษดิศุภการ มหาปาโมกขประธานวโรดม บรมนาถบพิตร
พระเกียรติคุณประกาศ
            ในปี พ.ศ.๒๕๓๒ องค์การยูเนสโกได้มีมติรับข้อเสนอของคณะผู้แทนไทยในการประชุมสมัยสามัญครั้งที่ ๒๕ ที่สำนักงานใหญ่ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ประกาศยกย่องสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส เป็นบุคคลผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรมระดับโลก
            องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ได้ประกาศรายชื่อบุคคลสำคัญผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรมระดับโลก ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๓๓ - ๒๕๓๔ และถวายพระเกียรติคุณ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ในฐานะ ปูชนียบุคคลสำคัญผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรมระดับโลกประจำปีพุทธศักราช ๒๕๓๓ ตามมติที่ประชุมสมัยสามัญ ครั้งที่ ๒๕ ณ สำนักงานใหญ่ยูเนสโก กรุงปารีสประเทศฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ และชักชวนให้ประเทศสมาชิกร่วมจัดกิจกรรมฉลองเนื่องในวันคล้ายวันประสูติครบ ๒๐๐ ปี วันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๓๓
ผลงานด้านวรรณกรรม
            สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ได้ทรงพระนิพนธ์หนังสือต่างๆ ไว้เป็นจำนวนมากทั้งบทร้อยกรองและร้อยแก้ว สมพระเกียรติที่เป็น รัตนกวีของชาติ วรรณกรรมของพระองค์ นับว่าเป็นสมบัติที่ประมาณค่ามิได้ พระนิพนธ์ต่างๆ มีดังนี้
โคลง
(๑) โคลงดั้นเรื่องปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนฯ
(๒) ลิลิตกระบวนแห่พระกฐินพยุหยาตราทางสถลมารคและชลมารค
(๓) ลิลิตตะเลงพ่าย
(๔) โคลงภาพฤาษีดัดตน
(๕) โคลงภาพคนต่างภาษา
(๖) โคลงกลบท
(๗) โคลงบาทกุญชร และวิวิธมาลี
(๘) โคลงจารึกศาลาหน้าพระมหาเจดีย์ ๒ หลัง
(๙) โคลงจารึกศาลาราย ๑๖ หลัง
(๑๐) ร่ายและโคลงบานแพนก
ฉันท์
(๑) กฤษณาสอนน้องคำฉันท์
(๒) สมุทรโฆษคำฉันท์ ตอนปลาย
(๓) ตำราฉันท์มาตรพฤติและวรรณพฤติ
(๔) สรรพสิทธิคำฉันท์
(๕) ฉันท์สังเวยกล่อมวินิจฉัยเภรี
(๖) จักรทีปนีตำราโหราศาสตร์
(๗) ฉันท์ดุษฎีสังเวยกล่อมช้างพัง
ร่ายยาว
(๑) มหาเวสสันดรชาดก (เว้นกัณฑ์ชูชกและมหาพน)
(๒) ปฐมสมโพธิกถา
(๓) ทำขวัญนาคหลวง
(๔) ประกาศบรมราชาภิเศก รัชกาลที่ ๔
กลอน
(๑) เพลงยาวเจ้าพระความเรียง
(๑) พระธรรมเทศนาพระราชพงศาวดารสังเขป
(๒) พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับความสมเด็จฯ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
 เล่ม ๑
ภาษาบาลี
(๑) ปฐมสมโพธิกถาฉบับภาษาบาลี มีต้นฉบับอยู่ในหอสมุดแห่งชาติ เป็นพระคัมภีร์ใบลานจำนวน ๓๐ ผูก ผูกละประมาณ ๒๔ หน้า เมื่อปริวรรตเป็นอักษรไทยและแปลออกมาแล้วจะเป็นหนังสือหนาประมาณ ๒,๑๖๐ หน้า หรือประมาณ ๒๗๐ ยก ซึ่งเป็นหนังสือพระพุทธประวัติฉบับที่มีขนาดหนาที่สุดในโลก





2. พระบาทสมเด็จพระจอมเก้าเจ้าอยู่หัว  พระราชนิพนธ์ 3 กัณฑ์  คือ
        1. วนปเวสนื
        2. จุลพน
        3. สักบรรพ
พระราชประวัติ
ขณะทรงพระเยาว์
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 43 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ที่ประสูติแต่สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี ทรงพระราชสมภพเมื่อวันพฤหัสบดี เดือน 11 ขึ้น 14 ค่ำ ปีชวด ฉศก จุลศักราช 1166 ซึ่งตรงกับวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2347พระราชวังเดิม ซึ่งเป็นที่ประทับของสมเด็จพระราชบิดา เมื่อครั้งยังดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร โดยพระนามก่อนการมีพระราชพิธีลงสรงเฉลิมพระนามว่า "ทูลกระหม่อมฟ้าใหญ่"
พระองค์มีพระเชษฐาและพระอนุชาร่วมพระราชมารดา รวมทั้งสิ้น 3 พระองค์ ได้แก่ สมเด็จเจ้าฟ้าชาย (สิ้นพระชนม์เมื่อประสูติ) สมเด็จฯ เจ้าฟ้ามงกุฏ และสมเด็จฯ เจ้าฟ้าจุฑามณี (ภายหลังได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว) พระองค์จึงเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าพระองค์แรกที่มีพระชนม์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เมื่อสมเด็จพระบรมชนกนาถเสด็จขึ้นครองสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 2 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์แล้ว พระองค์ได้เสด็จเข้ามาอยู่ภายในพระบรมมหาราชวัง จนกระทั่ง พ.ศ. 2355 พระองค์มีพระชนมายุได้ 9 พรรษา จึงได้จัดการพระราชพิธีลงสรงเพื่อเฉลิมพระนามเจ้าฟ้าอย่างเป็นทางการ พระราชพิธีในครั้งนี้พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยมีพระราชดำริว่า พระราชพิธีโสกันต์เจ้าฟ้าได้ทำเป็นอย่างมีแบบแผนอยู่แล้ว แต่การพระราชพิธีลงสรงตั้งพระนามเจ้าฟ้าครั้งกรุงศรีอยุธยายังหาได้ทำเป็นแบบอย่างลงไม่ รวมทั้ง ผู้ใหญ่ที่เคยเห็นพระราชพิธีดังกล่าวก็แก่ชราเกือบจะหมดตัวแล้ว เกรงว่าแบบแผนพระราชพิธีจะสูญไป พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรีและเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช (บุญรอด) เป็นผู้บัญชาการพระราชพิธีลงสรงในครั้งนี้เพื่อเป็นแบบแผนของพระราชพิธีลงสรงสำหรับครั้งต่อไป พระราชพิธีในครั้งนี้จึงนับเป็นพระราชพิธีลงสรงครั้งแรกในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ โดยทูลกระหม่อมฟ้าใหญ่ได้รับการเฉลิมพระนามตามพระสุพรรณบัฏว่า "สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎสมมุติวงศ์ พงอิศวรกระษัตริย์ ขัติยราชกุมาร" ในปี พ.ศ. 2359 พระองค์มีพระชนมายุครบ 13 พรรษา สมเด็จพระบรมชนกนาถมีพระราชดำรัสจัดให้ตั้งการพระราชพิธีโสกันต์ตามแบบอย่างพระราชพิธีโสกันต์เจ้าฟ้าที่มีมาแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โดยได้สร้างเขาไกรลาสจำลองไว้บริเวณหน้าพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท
พระองค์ทรงศึกษาอักษรสยามในสำนักสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ขุน) วัดโมลีโลกยาราม ตั้งแต่เมื่อครั้งยังประทับ ณ พระราชวังเดิม นอกจากนี้ ยังทรงศึกษาวิชาคชกรรมกับเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช รวมทั้ง ทรงฝึกการใช้อาวุธต่าง ๆ ด้วย
ทรงผนวช
เมื่อพระองค์มีพระชนมายุครบ 14 พรรษา จึงทรงออกผนวชเป็นสามเณร โดยมีการสมโภชที่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย แล้วแห่ไปผนวช ณ พระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยมีสมเด็จพระสังฆราช (มี) เป็นพระอุปัชฌาย์และสมเด็จพระญาณสังวร (สุก) เป็นพระอาจารย์ หลังจากนั้นได้เสด็จไปประทับอยู่ ณ วัดมหาธาตุ ทรงผนวชจนออกพรรษาแล้วจึงทรงลาผนวช รวมเป็นระยะเวลาประมาณ 7 เดือน เมื่อพระองค์ทรงพระเจริญวัยขึ้นแล้วพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยโปรดให้พระองค์เสด็จออกไปประทับ ณ พระราชวังเดิม
เมื่อพระองค์มีพระชนมายุ 21 พรรษา จึงจะทรงผนวชเป็นพระภิกษุ แต่ในระหว่างนั้นช้างสำคัญของบ้านเมือง ได้แก่ พระยาเศวตไอยราและพระยาเศวตคชลักษณ์เกิดล้มลง รวมทั้งสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงเทพยวดี พระขนิษฐาในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเพียงพระองค์เดียวที่ยังมีพระชนม์เกิดสิ้นพระชนม์ ทำให้พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยไม่สำราญพระราชหฤทัย จึงไม่ได้จัดพิธีทรงผนวชอย่างใหญ่โต โปรดให้มีเพียงพิธีอย่างย่อเท่านั้น โดยให้ทรงผนวช ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยมีสมเด็จพระสังฆราช (ด่อน) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระองค์ได้รับพระนามฉายาว่า "วชิรญาโณ" หรือ "วชิรญาณภิกขุ" แล้วเสด็จไปประทับแรมที่วัดมหาธาตุ 3 วัน หลังจากนั้น จึงเสด็จไปจำพรรษาที่วัดราชาธิวาส ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเคยประทับอยู่เมื่อทรงผนวช
ในขณะที่ทรงผนวชอยู่นั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จสวรรคต พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ พระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติเป็น พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงตัดสินพระทัยที่จะดำรงสมณเพศต่อไป ในระหว่างที่ทรงผนวชอยู่นั้นได้เสด็จออกธุดงค์ไปยังหัวเมืองต่าง ๆ ทำให้ทรงคุ้นเคยกับสภาพความเป็นอยู่ของอาณาประชาราษฏร์อย่างแท้จริง พระองค์ทรงพระราชอุตสาหะวิริยะเรียนภาษาอังกฤษจนทรงเขียนได้ ตรัสได้ ทรงเป็นนักปราชญ์รอบรู้ ทำให้พระองค์ทรงมีความรอบรู้เท่าทันต่อเหตุการณ์ของโลกตะวันตกเป็นอย่างดี ทรงผนวชตั้งแต่ปี พ.ศ. 2367 จนถึงลาผนวช เป็นเวลารวมที่บวชเป็นภิกษุทั้งสิ้น 27 พรรษา (ขณะนั้นพระชนมายุ 48 พรรษา) หมายเหตุ; เวลาที่ผนวชเป็นสามเณร 7 เดือน
คณะธรรมยุติกนิกาย หลังจากการลาผนวชของพระวชิรญาณเถระยังคงเจริญรุ่งเรืองต่อไป เพราะได้พระมหากษัตริย์เป็นผู้อุปถัมภ์ และมีผู้นำที่เข้มแข็งคือ กรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธ์ ต่อมาได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์เป็นผู้ครองบังคับบัญชาคณะธรรมยุติกนิกาย
ครองราชย์
เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2394 พระราชวงศ์และเสนาบดีมีมติเห็นชอบให้ถวายราชสมบัติแก่สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎ จึงได้ให้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ ไปเฝ้าเจ้าฟ้ามงกุฎ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร แต่พระองค์ตรัสว่า ถ้าจะถวายพระราชสมบัติแก่พระองค์จะต้องอัญเชิญสมเด็จเจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ขึ้นครองราชย์ด้วย เนื่องจากพระองค์ทรงเห็นว่าเป็นผู้ที่มีพระชะตาแรง ต้องได้เป็นพระมหากษัตริย์
ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกนั้น พระองค์ได้รับการเฉลิมพระปรมาภิไธยว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฏฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และมีพระนามตามจารึกในพระสุบรรณบัฏว่า
"พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฏสุทธิ สมมุติเทพยพงศวงศาดิศรกษัตริย์ วรขัตติยราชนิกโรดม จาตุรันตบรมมหาจักรพรรดิราชสังกาศ อุภโตสุชาติสังสุทธิเคราะหณี จักรีบรมนาถ อดิศวราชรามวรังกูร สุจริตมูลสุสาธิตอุกฤษฐวิบูลย บุรพาดูลยกฤษฎาภินิหารสุภาธิการรังสฤษดิ ธัญญลักษณ วิจิตรโสภาคสรรพางค์ มหาชโนตมางคประนตบาทบงกชยุคคล ประสิทธิสรรพสุภผลอุดม บรมสุขุมาลยมหาบุรุษยรัตน ศึกษาพิพัฒนสรรพโกศล สุวิสุทธิวิมลศุภศีลสมาจารย์ เพ็ชรญาณประภาไพโรจน์ อเนกโกฎิสาธุ คุณวิบุลยสันดาน ทิพยเทพวตาร ไพศาลเกียรติคุณอดุลยพิเศษ สรรพเทเวศรานุรักษ์เอกอัครมหาบุรุษ สุตพุทธมหากระวี ตรีปิฎกาทิโกศล วิมลปรีชามหาอุดมบัณฑิต สุนทรวิจิตรปฏิภาณ บริบูรณ์คุณสาร สัสยามาทิโลกยดิลก มหาปริวารนายกอนันต์ มหันตวรฤทธิเดช สรรพพิเศษ สิรินธรมหาชนนิกรสโมสรสมมติ ประสิทธิวรยศมโหดมบรมราชสมบัติ นพปดลเศวตฉัตราดิฉัตร สิริรัตโนปลักษณมหาบรมราชาภิเศกาภิษิต สรรพทศทิศวิชิตวิไชย สกลมไหศวรินมหาสยามินทร มเหศวรมหินทร มหาราชาวโรดม บรมนารถชาติอาชาวศรัย พุทธาทิไตรรัตนสรณารักษ์ อุกฤษฐศักดิอัครนเรศราธิบดี เมตตากรุณาสีตลหฤทัย อโนปมัยบุญการสกลไพศาลมหารัษฎาธิเบนทร ปรเมนทรธรรมมิกมหาราชาธิราช บรมนารถบรมบพิตร พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว "
พร้อมกันนี้ พระองค์ทรงสถาปนาสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ที่กรมพระราชวังบวรสถานมงคลมีพระราชพิธีบวรราชาภิเษกและทรงรับพระบวรราชโองการ ให้พระเกียรติยศเสมอด้วยพระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ 2 โดยได้รับการเฉลิมพระปรมาภิไธยว่า พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วนในฝ่ายสมณศักดิ์นั้น พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เลื่อนพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นนุชิตชิโนรส โดยมหาสมณุตมาภิเษกขึ้นเป็น กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระสังฆราช เป็นต้น





3.เจ้าพระยาพระคลัง ( หน ) นิพนธ์ 2 กัณฑ์  คือ
        1. กุมาร
        2. มัทรี
เจ้าพระยาพระคลัง (หน) เป็นกวีเอกคนหนึ่งในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ มีนามเดิมว่า หน เกิดเมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด น่าจะอยู่ในช่วงปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา และถึงแก่อสัญกรรม ในสมัยรัชกาลที่ 1 พ.ศ. 2348 ประวัติอื่นๆ มีปรากฏน้อยเต็มที นอกเสียจากผลงานด้านวรรณคดีที่ท่านได้แต่งไว้หลายเรื่องด้วยกัน
ประวัติ
เจ้าพระยาพระคลังท่านนี้ เป็นบุตรเจ้าพระยาบดินทร์สุรินทร์ฦๅชัย (บุญมี) กับท่านผู้หญิงเจริญ มีบุตรธิดาหลายคน ที่มีชื่อเสียงคือ เจ้าจอมพุ่ม ในรัชกาลที่ 2, เจ้าจอมมารดานิ่ม พระมารดาสมเด็จฯ กรมพระยาเดชาดิศร (มั่ง) ในรัชกาลที่ 2, นายเกต และนายพัด ซึ่งเป็นกวีและครูพิณพาทย์
เจ้าพระยาพระคลัง (หน) เป็นต้นสกุล บุญ-หลง
รับราชการ
มีหลักฐานระบุได้ว่าท่านได้รับราชการมาตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี มีบรรดาศักดิ์เป็นหลวงสรวิชิต ตำแหน่งนายด่านเมืองอุทัยธานี ครั้นเมื่อถึงปลายรัชกาล ที่เหตุระส่ำระสายเกิดจลาจลในพระนคร ท่านได้ลอบส่งคนนำหนังสือแจ้งเหตุภายในพระนครไปถวายสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (ภายหลังคือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก) ซึ่งกำลังยกกองทัพไปตีเขมร
หลวงสรวิชิต (ในเวลานั้น) ออกไปรับสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกถึงทุ่งแสนแสบ แล้วบอกข้อราชการต่างๆ จากนั้นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้เข้ามาปราบเหตุจลาจลในพระนคร แล้วทรงปราบดาภิเษกขึ้นครองราชสมบัติ เป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี
เมื่อเหตุการณ์ในพระนครสงบเรียบร้อย พระเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ท่านเป็นพระยาพิพัฒโกษา และในที่สุดเมื่อตำแหน่งเจ้าพระยาพระคลังว่างลง ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนขึ้นเป็นเจ้าพระยาพระคลัง เป็นเสนาบดีจตุสดมภ์กรมท่า มีหน้าที่ควบคุมบังคับบัญชากิจการทางหัวเมืองชายทะเลทั้งหมด
เจ้าพระยาพระคลังท่านนี้นอกจากมีความสามารถในเชิงบริหารกิจการบ้านเมือง และเป็นนักรบแล้ว ยังมีความสามารถในเชิงอักษรศาสตร์เป็นที่ยกย่องว่าเป็นกวีฝีปากเอก มีสำนวนโวหารไพเราะ ทั้งร้อยกรองหลากหลายชนิด และสำนวนร้อยแก้วที่มีสำนวนโวหารไพเราะไม่แพ้กัน





4. พระเทพโมลี ( กลิ่น ) นิพนธ์ 1 กัณฑ์ คือ มหาพน
ประวัติ
(อดีตเจ้าอาวาส องค์ที่ ๓ )
พระเทพโมลี (กลิ่น) ท่านเกิดเมื่อประมาณปีพระพุทธศักราช ๒๒๘๓ รัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ มีเชื้อสายรามัญ ท่านบรรพชา-อุปสมบท วัดตองปุ อยุธยา สมัยพระเจ้าเอกทัศน์เมื่อกรุงศรีอยุธยาล่มสลาย ท่านพระมหาศรี พระขุน พระเทพโมลี ครั้งเป็นพระกลิ่น หลบภัยข้าศึก ล่องลงมาทางใต้ ถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ท่านและคณะกลับมาอยู่วัดกลางนา(วัดตองปุ หรือวัดชนะสงคราม)กรุงเทพฯต่อมาทราบข่าวพระอาจารย์สุก มาสถิตวัดพลับ เป็นที่พระญาณสังวรเถร ทั้งสามท่านจึงตามมาอยู่วัดพลับ เรียนขอเล่าเรียน พระกรรมฐานมัชฌิมา แบลลำดับด้วยประมาณปีพระพุทธศักราช ๒๓๒๘ พระมหากลิ่น และคณะ ทราบว่าพระ
อาจารย์สุก มาสถิตวัดพลับ ทรงเชี่ยวชาญวิปัสสนากรรมฐาน ท่าน และคณะซึ่งเป็นเชื้อสายรามัญ จึงได้เข้าไปกราบนมัสการขออนุญาต พระมหาสุเมธาจารย์เป็นเจ้าอาวาส วัด
กลางนา (วัดตองปุ หรือวัดชนะสงคราม) ซึ่งเป็นพระสงฆ์นิกายรามัญ เพื่อมาศึกษาพระกรรมฐานในสำนักพระญาณสังวรเถร (สุก)เมื่อได้รับอนุญาติแล้ว ท่านได้ร่วมเดินทางมากับ คณะของท่านพระอาจารย์มหา
ศรี พระขุน มาขึ้นพระกรรมฐานที่วัดพลับ กลับไปนั่งบำเพ็ญพระกรรมฐาน ที่วัดตองปุ(ชนะสงคราม) มาแจ้งพระกรรมฐานที่วัดพลับ ไป-กลับดังนี้ คณะของท่านเห็นว่าไม่สะดวก จึงขออนุญาต กราบลาเจ้าอาวาส วัดตองปุ (ชนะสงคราม) ขอมาอยู่วัดพลับเลยชั้นแรกนั้น พระญาณสังวรเถร (สุก) ทรงเห็นว่า พระมหากลิ่นยังมีจิตใจสับสนวุ่นวายอยู่ระหว่าง การเจริญสมาธิ กับการศึกษาพระบาลีมูลกัจจายน์ จิตใจของท่านจึง
สับสนลังเลอยู่ สมาธิไม่อาจตั้งได้พระญาณสังวรเถร (สุก) พระองค์ท่านทรงทราบด้วย เจโตปริยะญาณ คือการกำหนดใจผู้อื่นได้ จึงยังไม่ให้ท่านเจริญภาวนาพระกรรมฐาน แต่ให้ท่านกลับไปตั้งสติเขียนอักขระขอมพระบาลีมูลกัจจายน์มาก่อน เมื่อจิตสงบเป็นสมาธิดีแล้ว จึงจะให้มาศึกษาทางเจริญภาวนาพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับกับพระองค์ท่านกาลต่อมาเมื่อใจของท่านหายสับสนวุ่นวาย มีจิตใจมั่นคงสงบดีแล้ว ท่านก็ได้ขึ้นพระกรรมฐาน กับพระญาณสังวรเถร (สุก) ขึ้นแล้วพระญาณสังวรเถร ให้ท่านไปแจ้งสอบอารมณ์พระกรรมฐาน กับพระพรหมมุนี(ชิต) หรือท่านเจ้าคุณหอไตรบ้าง กับพระครูวินัยธรรมกันบ้าง ท่านศึกษาด้านภาวนาอยู่ประมาณสองปีเศษ ท่านก็จบสมถะวิปัสสนากรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ ท่านได้เที่ยวออกสัญจรจาริกรุกขมูลครั้งแรก ไปกับหมู่คณะสงฆ์วัดราชสิทธาราม ต่อมาท่านก็ธุดง แต่องค์เดียว
ต่อมาท่านได้ ไม้เถาอริยะ มาทำไม้เท้าเบิกไพร แผ่เมตตา แหวกทางเปิดทางป้องกันสัตว์ร้ายต่างๆ เวลาออกสัญจรจาริกธุดงค์ ไม้เท้าเถาอริยะนี้ กาลต่อมาได้ตกทอดมาถึง พระสังวรานุวงศ์เถร (เอี่ยม) เจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม ปัจจุบันไม้เท้าเถาอริยะของพระเทพโมลี (กลิ่น) เก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์พระกรรมฐาน คณะ ๕ วัดราชสิทธารามสมัยต่อมาท่านได้นำเอาประสพการณ์ การออกสัญจรจาริกธุดงค์ การเดินป่า มา
แต่งวรรณกรรม มหาเวศสันดรชาดก กัณฑ์มหาพน จนมีชื่อเสียงโด่งดังด้านการศึกษา พระปริยัติธรรม พระบาลีมูลกัจจายน์นั้น เบื้องต้นท่านได้ศึกษากับพระมหาศรี (พระพุทธโฆษาจารย์) วัดราชสิทธาราม (พลับ) ต่อมาพระมหาศรี ย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสวัดโมลีโลกยารามแล้ว ท่านก็ได้ศึกษาพระบาลีมูลกัจจายน์ กับพระสมุห์ฮั่น เปรียญ (พระวินัยรักขิต) วัดราชสิทธาราม (พลับ) จนจบพระบาลีมูลกัจจายน์
เบื้องต้น ที่วัดราชสิทธาราม (พลับ)ต่อมาพระสมุห์ฮั่น พระอาจารย์ของท่าน ได้ส่งท่านไปศึกษาพระบาลีมูลกัจจายน์ชั้นสูงเพิ่มเติมต่อที่ วัดสลักหรือวัดมหาธาตุ กับพระพนรัต(ศุก) ต่อมาท่านได้เป็นเปรียญ
เอก ในรัชกาลที่ ๑ปีพระพุทธศักราช ๒๓๕๐ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ทรงบำเพ็ญพระราชกุศล เทศมหาชาติ ทรงให้พระเจ้าหลานเธอกรมขุนสุนทรภูเบศร์ รับกัณฑ์มหาพน โปรดเกล้าฯให้ มหากลิ่น เปรียญเอก วัดราชสิทธาราม สำแดง คัมภีร์เทศมหาพน ท่านรจนาเอง จารเอง และสำแดงเอง การแต่งนั้นท่านใช้พระคัมภีร์มหาเวศสันดรชาดก จากต้นฉบับภาษาบาลี ของพระวินัยรักขิต (ฮั่น) พระอาจารย์ของท่านที่มอบให้ถือเอาเป็นปฐมมงคลฤกษ์ ในการแต่งมหาพน เทศหน้าพระที่นั่งปีต่อมาท่านได้รับ เทศกัณฑ์มหาพนอีก และท่านก็ได้ปรับปรุงแก้ไขเรื่อยมา ตามคำติชมของเจ้ากรมสังการี ซึ่งเป็นมหาเปรียญเก่า ถึง ๗ฉบับ ปัจจุบันต้นฉบับแก้ไขปรับปรุง คัมภีร์ใบลานเทศมหาพน ที่ท่านแต่งเอง จารเอง บางส่วน เก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์พระกรรมฐาน คณะ ๕ วัดราชสิทธาราม ท่านมีต้นฉบับกัณฑ์เทศมหาพนหลายผูกหลายฉบับ เนื่องจากมีการปรับปรุงแก้ไขบ่อยครั้ง จึงเป็นที่เชื่อถือของราชสำนัก ให้ท่านแต่งเทศมหาชาติกัณฑ์ทานกัณฑ์ ในสมัยรัชกาลที่ ๒ และปีพระพุทธศักราช ๒๓๕๘ จึงได้รับแต่งตั้งเป็นพระราชาคณะ เป็นพระคณาจารย์เอกฝ่ายคันถะธุระปีพระพุทธศักราช ๒๓๕๑ พระมหากลิ่นได้แต่ง คัมภีร์เวสสันดรชาดกขึ้น ๑๓กัณฑ์ ต่อมาปี ๒๓๕๘ ทางราชการรับคัดเลือกของท่านไว้สองกัณฑ์คือ กัณท์ทานกัณฑ์และกัณฑ์มหาพน โดยเฉพาะกัณฑ์ มหาพน ของพระเทพโมลี (กลิ่น) ต่อมามีชื่อเสียงมากในปีนั้นเอง ประมาณเดือน ๑๐ แรม ๑๓ ค่ำ ท่านได้คัดลอก คัมภีร์โยชนามูลกัจจายน์ ขึ้นอีก ๑๔ ผูกเขียนไว้ให้ พระภิกษุสามเณรได้ใช้ศึกษาเล่าเรียนกันที่วัดราชสิทธาราม (พลับ) ปัจจุบันพระคัมภีร์นี้อยู่ที่ พิพิธภัณฑ์พระกรรมฐาน คณะ ๕ วัดราชสิทธาราม (พลับ)ปีพระพุทธศักราช ๒๓๕๘ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โปรดเกล้า
ฯให้ประชุมนักปราชญ์ราชบัณฑิต แต่งมหาชาติคำหลวง ของพระบรมไตรโลกนาถแห่งกรุงศรีอยุธยา ปรากฏว่าหลังจากเสียกรุงแล้วมหาชาติคำหลวงได้สูญหายไป ๖กัณฑ์คือ หิมพานต์ ทานกัณฑ์ จุลพน มัธทรี สักบรรพ ฉกษัตริย์ ปรากฏว่า พระมหากลิ่น ท่านได้แต่งเทศมหาชาติ คำฉันท์ ทานกัณฑ์ ท่านแต่งเชิงพรรณาโวหาร ดีเยี่ยม จะหาผู้ใดแต่งดีกว่าท่านนั้นยากเต็มที เพราะท่านแต่งใช้ถ้อยคำ ศัพท์แสง เข้ากับภาษาครั้ง
กรุงศรีอยุธยา ได้อย่างเหมาะเจาะหน้าพิศวง ทั้งในเชิงกวีก็ไพเราะไม่น้อย กัณฑ์ ของท่านได้รับเลือก ตั้งแต่นั้นมา คนทั้งหลายก็นิยมนับถือว่าท่าน เป็นกวีสงฆ์ พระ
นักปราชญ์ องค์หนึ่งในต้นกรุงรัตนโกสินทร์สมเด็จพระมหาสมณะเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส ซึ่งเป็นกวีเอกสงฆ์ อีกพระองค์หนึ่งของกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงนิพนธ์มหาชาติไว้ถึง ๑๐ กัณฑ์ แต่ไม่ทรงแต่งอยู่ ๓ กัณฑ์คือ มัธทรี ชูชก มหาพน ส่วนไม่ทรงแต่งกัณฑ์มหาพนนั้น รับสั่งว่า ถึงจะแต่งก็สู่ของ พระเทพโมลี (กลิ่น) ไม่ได้ เพราะของพระเทพโมลี (กลิ่น) มีลักษณะดีพร้อม ทั้งเนื้อความ ทั้งคำ ทั้งเชิงกวี ความรู้ในด้านค้นคว้าเช่น อ้างราชสีห์มี ๔ จำพวกชนิดไหนมีลักษณะอย่างไร กินอาหารอย่างไร อากัปกิริยา เป็นเช่นไร หรือต้นไม้ชนิดใดมีรส คุณวิเศษ อย่างไร อันเป็นประโยชน์ แก่ผู้ใช้สมุนไพร สำนวนพรรณาที่เรียกว่า
แหล่ เขา สระ นา ไม้ สัตว์ ก็ไพเราะเพราะพริ้งทราบซึ้งยิ่งนัก จึงทำให้นึกเห็นภาพ เกิดความเป็นจริง เกิดขึ้นในใจ อีกทั้งสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรงนับถือ พระเทพโมลี(กลิ่น) ว่าเป็นพระอาจารย์องค์หนึ่ง ของพระองค์ท่านด้วยตั้งแต่ปีพระพุทธศักราช ๒๓๕๐ ถึงปีพระพุทธศักราช ๒๓๕๘ ท่านแต่งคำภีร์
ไว้มากมายหลายร้อยคำภีร์ หลังจากปีพ.ศ. ๒๓๕๘ แล้ว ท่านก็บำเพ็ญวิปัสสนาธุระอย่างเดียว ปราถนาซึ่งความหลุดพ้น ตามอย่างสมเด็จพระสังฆราช ไก่เถื่อน และพระเถรผู้ใหญ่ในวัดราชสิทธาราม ในครั้งนั้น ท่านนับเป็นอริยบุคคล องค์หนึ่งในสมัยนั้นปีพระพุทธศักราช ๒๓๕๙ วันพฤหัส เดือน ๙ แรม ๗ ค่ำ ปีชวด ในรัชกาลที่ ๒พระมหากลิ่น ได้รับพระราชทานสมณะศักดิ์ เป็นพระราชาคณะฝ่ายคันถธุระที่ พระรัตนมุนี เมื่ออายุได้ ๖๙ ปี เป็นปีที่ตั้ง สมเด็จพระสังฆราช (มี) วัดราชบูรณะปีพระพุทธศักราช ๒๓๖๓ วันพฤหัส เดือนอ้าย ขึ้น ๙ ค่ำ ปีมะโรง ในสมัยรัชกาลที่ ๒ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณะศักดิ์เป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่ที่ พระเทพโมลีพระคณาจารย์เอก ฝ่ายคันถธุระ เมื่ออายุได้ ๗๓ ปี เมื่อคราวสถาปนาสมเด็จ
พระสังฆราช ไก่เถื่อน มีราชทินนามปรากฏดังนี้ให้พระรัตนมุนี เป็นพระเทพโมลี ศรีปิฏกธรา มหาคณฤศร บวรสังฆารามคามวาสี สถิต ณ. วัดราชสิทธาวาส พระอารามหลวง รับพระราชทานนิจพัจ ๔ ตำลึง มี
ถานานุศักดิ์ ควรตั้งถานานุกรมได้ ๔ รูป มีพระครูปลัด ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฏีกา
๑ พระครูสังฆวิชิต ๑ครั้งตั้ง พระเทพโมลี (จี่) วัดประยูรวงศาวาส มีสร้อยราชทินนามว่า มหาคณฤศร
ทรงเปลี่ยนสร้อยราชทินนามเป็น มหาธรรมกถึกคณฤศรครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีตำแหน่ง พระเทพโมฬี จัดเป็นตำแหน่งของพระสงฆ์ฝ่ายสมถะวิปัสสนา ครองวัดสมณโกฎ อยู่ในการปกครองบังคับบัญชาของพระพุฒาจารย์ เจ้าคณะกลางฝ่ายอรัญวาสี สถิตวัดโบสถ์ราชเดชะในรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดปรานวิชากาพย์กลอนมาก ทั้งยังได้ทรงเลื่อมใสในพระเทพโมลี(กลิ่น) ถึงกับพระราชทานแท่นฝนหมึกขนาดใหญ่ให้กับท่าน ปัจจุบันแท่นฝนหมึกพระราชทาน เก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์พระกรรมฐาน คณะ ๕ วัดราชสิทธาราม (พลับ)เมื่อคราวปฏิสังขรณ์ วัดพระเชตุพนฯ โปรดเกล้าฯให้ช่างรวบรวมตำรับตำราของนักปราชญ์ราชบัณฑิต ทั้งนักปราชญ์ฝ่ายสงฆ์ ฝ่ายฆราวาส ทั้งที่สิ้นชีพตักษัยไปแล้ว
และที่ยังมีชีวิตอยู่ และโปรดเกล้าฯให้ประชุมกันแต่ง โคลง ฉันท์ กาพย์กลอน จารึกใส่แผ่นศิลาประดิษฐานไว้ที่วัดพระเชตุพนฯ โดยในครั้งนั้นได้ทรง นำเอากวีนิพนธ์ ที่พระเทพโมลี (กลิ่น) แต่ง เช่น โครงฤาษีดัดตน โคลงบาทกุญชร โคลงกลบท และบรรดาวรรณจิตรที่ท่านแต่ง ล้วนไพเราะเพราะพริ้งเป็นอย่างยิ่ง จัดเป็นเอก ทั้งเชิงกระบวนกลอน กระบวนความ ทางราชการได้นำเอากวีนิพนธ์ของท่านไปจารึก หลังจาก
ท่านได้มรณะภาพลงแล้วปีพระพุทธศักราช ๒๓๖๘ พระพรหมมุนี (ชิต) หรือท่านเจ้าคุณหอไตร ได้มรณะภาพลง พระญาณวิสุทธิ์เถร (เจ้า) ได้รักษาการเจ้าอาวาส เนื่องจากพระเทพโมลี
(กลิ่น) ขณะนั้นยังอาพาธอยู่ปีพระพุทธศักราช ๒๓๖๘ ต่อปีพระพุทธศักราช. ๒๓๖๙ พระเทพโมลี(กลิ่น)
หายจากโรคาพาธ ท่านได้รับโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม ท่าน
ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดราชสิทธารามเวลานั้น ท่านก็ชราทุพพลภาพมากแล้ว เดินไปมาข้างไหนก็ไม่ค่อยสะดวก พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่๓ จึงทรงพระราชทานแคร่คานหาม ให้เอาไว้ใช้ในเวลาเดินทางไปไหนมาไหน จะไปได้โดยสดวก โดยเฉพาะใช้ในการไปลงทำสังฆกรรม เช่น ลงพระปาฎิโมกข์ เป็นต้นครั้งที่ท่านได้รับแต่งตั้งเลื่อนสมณะศักดิ์เป็นที่ พระเทพโมลี และเป็นเจ้าอาวาสแล้ว ก็มีบรรพชิต และพระบรมวงศานุวงศ์ ที่เลื่อมใสในเชิงกวีของท่าน มาสมัครเป็นลูกศิษย์ฝึกแต่งโคลงฉันท์ กาพย์กลอนกับท่าน และได้ช่วยกันทะนุบำรุงวัดราชสิทธาราม(พลับ) ให้เจริญรุ่งเรือง จนท่านเป็นที่รู้จักกว้างขวางในวงศ์ เจ้านาย และข้าราชการผู้ใหญ่ ผู้น้อย เป็นอย่างดีการศึกษาสมัย พระเทพโมลี (กลิ่น) ครองวัดราชสิทธารามการศึกษาด้านพระปริยัติธรรม พระบาลีมูลกัจจายน์ พระเทพโมลี (กลิ่น) เป็น
พระอาจารย์ใหญ่ พระอาจารย์ผู้ช่วยคือ พระปิฏกโกศลเถร (แก้ว) ๑ พระมหาทัด ๑ พระมหาเกิด ๑
ด้านการศึกษาพระวิปัสสนาธุระมี พระครูวินัยธรรมกัน สัทธิวิหาริกของสมเด็จพระญาณสังวร (สุก) เป็นพระอาจารย์ใหญ่ พระอาจารย์มหาทัด ๑เป็นผู้ช่วย เมื่อพระครูวินัยธรรมกัน มรณะภาพลงแล้ว พระญาณสังวรเถร (ด้วง) รับหน้าที่เป็นพระอาจารย์ใหญ่ พระอาจารย์ผู้ช่วยคือ พระอาจารย์คำ พระครูศีลวิสุทธิ์ (รุ่ง) พระครูศีลสมาจารย์(บุญ) พระปลัดมี พระปลัดเมฆปีพระพุทธศักราช ๒๓๖๙ ท่านครองวัดราชสิทธาราม (พลับ)มาประมาณ ๑ ปีท่านก็มรณะภาพลงในปลายปีนั้นด้วยโรคชรา เมื่อสิริอายุได้ ๘๖ ปี สมัยท่านครองวัด
ราชสิทธาราม ท่านเป็นผู้มีชื่อเสียง ผู้คนนับถือมาก ท่านเป็นพระสงฆ์นักปราชญ์องค์ต้นๆของกรุงรัตนโกสินทร์ หลังจากพระเทพโมลี (กลิ่น) ได้มรณะภาพลงแล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๓ ทรงมีพระราชคำริว่า บทกวีนิพนธ์ต่างๆ ของพระเทพโมลี(กลิ่น)นั้น ต่อไปจะกระจัดกระจายสูญหาย หายาก จึงโปรดเกล้าฯให้เจ้ากรมอาลักษณ์เก็บรวบรวม บทกวีนิพนธ์ต่างๆของท่านไว้ เมื่อถึงคราวปฏิสังขรณ์ วัด
พระเชตุพนฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ จึงให้รวบรวมนักปราชญ์ ราชบัณฑิตย์ แต่งบทกวีนิพนธ์ต่างๆ โปรดให้ช่างจารึกลงแผ่นศิลาไว้ที่วัดพระเชตุพนฯ ในครั้งนั้นได้โปรดเกล้าฯให้นำเอาบทกวีนิพนธ์ต่างๆ ของพระเทพโมลี (กลิ่น) จารึกลงแผ่นศิลาไว้ด้วยแคร่คานหาม ที่ได้พระราชทานให้ พระเทพโมลี (กลิ่น)ในครั้งนั้น ก็ได้เก็บรักษาไว้ที่วัดราชสิทธาราม พร้อมด้วยไม้เท้าเถาอริยะ ไม่มีผู้ใดกล้านำเอามาใช้เพราะเป็นของพระราชทานสงฆ์เฉพาะองค์ จนกระทั้ง ๘๐ ปีเศษผ่านมา ถึงปีพระพุทธศักราช ๒๔๕๐
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ก็ได้พระราชทาน แคร่คานหาม ที่เก็บรักษาไว้ที่วัดราชสิทธารามให้แก่ พระสังวรานุวงศ์เถร (เอี่ยม) ได้ใช้สืบมาเป็นองค์ที่สอง เพราะเวลานั้นพระสังวรานุวงศ์เถร (เอี่ยม) ท่านชราทุพพลภาพ ปัจจุบันแคร่คานหามนี้ ได้เก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์พระกรรมฐาน คณะ ๕ วัดราชสิทธาราม
ผลงานของพระเทพโมลีกลิ่น
๑. ร่ายยาวมหาเวศสันดรชาดก กัณฑ์มหาพน แต่งประมาณ พ.ศ.๒๓๕๐
๒. คัมภีร์โยชนามูลกัจจายณ์ แต่ง พ.ศ. ๒๓๕๑
๓. มหาชาติ คำหลวง ทานกัณฑ์ แต่งพ.ศ. ๒๓๕๘
๔. โครงนิราศ ตลาดเกรียบ
๕. โครงกระทู้เบ็ดเตล็ด
๖. โครงฤาษีดัดตน
๗.โครงบาทกุญชร
๘. โครงกลบท
๙.โครงลวงผึ้ง





5. สำนักวัดถนน  นิพนธ์ 1 กัณฑ์  คือ  ทานกัณฑ์
กัณฑ์ทานกัณฑ์ ประดับด้วยคาถา ๒๐๙ คาถา
เนื้อความเป็นของสำนักวัดถนน จังหวัดอ่างทอง มิได้ระบุชื่อผู้นิพนธ์
กัณฑ์นี้มีจำนวนพระคาถามากที่สุดในจำนวนมหาชาติทั้ง ๑๓ กัณฑ์
เพลงประจำกัณฑ์ คือ เพลงพระยาโศก
ประกอบกิริยาโศกสลดรันทดใจของพระบรมวงศานุวงศ์
ที่ พระเวสสันดร ถูกเนรเทศออกจากเมือง
ข้อคิดจากกัณฑ์
พึงยอมเสียสละความสุขส่วนตัว เพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวม






6. สำนักวัดสัขจายนิพนธ์ 1 กัณฑ์  คือ  ชูชก
กัณฑ์ชูชก
สาระน่ารู้สู่ผู้สดับ
กัณฑ์ชูชกประดับด้วยคาถา ๗๙ คาถา
พระเทพโมลี วัดสังข์กระจาย เป็นผู้นิพนธ์

เพลงประจำกัณฑ์ คือ เพลงเซ่นเหล้า
ประกอบกิริยากินอย่างตะกละตะกรามของ ชูชก

ข้อคิดจากกัณฑ์

อย่าฝากของมีค่า ของสำคัญ หรือของหวงแหนไว้กับผู้อื่น
ตัวละครสะท้อนคุณธรรม
ชูชก เป็นตัวอย่างของคนมัธยัสถ์ รู้จักเก็บหอมรอมริบ รักครอบครัว
แต่มีนิสัยเจ้าเล่ห์เพทุบาย เต็มไปด้วยโลภะ โทสะ และโมหะ
ติดอยู่ในกาม เข้าลักษณะวัวแก่กินหญ้าอ่อน
นางอมิตตดา เป็นตัวอย่างของลูกที่อยู่ในโอวาท กตัญญูต่อพ่อแม่
เป็นภรรยาที่ดีของสามี แต่ไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง